Rebalance จัดการทุกอย่างในพอร์ตให้จบใน EA Thailand

Rebalance จัดการทุกอย่างในพอร์ตให้จบใน EA Thailand
สารบัญ

เคยเป็นกันไหม เปิด EA ไว้หลายตัว หลาย Preset ในบัญชีเดียวกัน เพื่อหวังว่าจะกระจายความเสี่ยงจากการเทรดได้ แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นสับสนยิ่งกว่าเดิม เพราะแต่ละ Present มีจังหวะเข้าจังหวะออกออเดอร์ที่แตกต่างและเป็นของตัวเอง ตัวที่ 1 กำลังเก็บ TP ได้ดี แต่ตัวที่ 2 กลับลาก SL จนยอดเงิน (Equity) ผันผวนไปหมด ดูยอดเงินจริง (Balance) เหมือนกำลังบวกเพิ่ม แต่พอกดปิดออเดอร์ทั้งหมดทีไร ความจริงก็โผล่มาว่า “คุณกำลังขาดทุน” อยู่เพราะตัวที่ 2 กำลังขาดทุน

ยิ่งเปิดหลายกลยุทธ์ หลาย Preset ยิ่งตามได้ยากว่าภาพรวมของพอร์ตจริง ๆ ตอนนี้เป็นยังไงกันแน่ กำลังทำกำไรหรือขาดทุนกันแน่ ดังนั้นในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับตัวช่วยหนึ่งที่ดีมากในการจัดการกำไร/ขาดทุน ของพอร์ตเดียวให้ครบ ที่มีชื่อว่า “Rebalance” ฟีเจอร์จากทาง EA Thailand ที่มาทำให้พอร์ตของคุณเป็นระเบียบมากกว่าที่เคยเป็น และมองเห็นความเป็นจริงว่าพอร์ตของคุณเป็นอย่างไรกันแน่

Rebalance คืออะไร?

Rebalance คือ ระบบที่ออกมาเพื่อช่วยจัดระเบียบและจัดการพอร์ตเทรดของคุณให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่เปิดใช้งาน EA หลาย ๆ กลยุทธ์ หรือหลาย Preset พร้อมกันในบัญชีเดียว ซึ่งแต่ละระบบก็มักจะมีจุด TP (Take Profit) และ SL (Stop Loss) ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์ภาพรวมของพอร์ตว่าเป็นอย่างไร

แต่สิ่งที่ Rebalance ทำได้เลยคือ การรวบรวมข้อมูลการทำกำไร (TP) และการขาดทุน (SL) จากทุกระบบที่คุณเปิดใช้งาน แล้วนำมาคำนวณแบบรวมกัน โดยใช้ Equity ของบัญชี (ยอดคงเหลือรวมที่หักลบกำไร/ขาดทุนของออเดอร์ที่ยังเปิดอยู่) เป็นตัวกลางในการตัดสินใจในการปิดออเดอร์ทั้งหมดในพอร์ตหรือไม่ โดยตั้งค่าเงื่อนไข Rebalance ได้ง่าย ๆ ตามนี้

Rebalance คืออะไร?
  • TP All ($) – กำหนดเป้าหมายกำไรที่เป็น “จำนวนเงิน” เช่น ตั้งไว้ 100$ เมื่อพอร์ตมีกำไรรวมจากทุกระบบ (หรือทุก Preset) ถึง 100$ ระบบจะทำการปิดออเดอร์ทั้งหมดทันที โดยไม่ต้องไปนั่งไล่ปิดทีละระบบ
  • TP All (%) – กำหนดเป้าหมายเป็น “เปอร์เซ็นต์” ของยอดเงิน (Banlance) เช่น 10% ของทุน 1,000$ ก็หมายถึงเมื่อได้กำไร 100$ ระบบจะทำการปิดออเดอร์ทั้งหมดทันที
  • SL ALL ($) – ตั้งจุดกันขาดทุนเป็น “จำนวนเงิน” เช่น ตั้งไว้ 50$ ถ้าพอร์ตเริ่มขาดทุนถึงจุดนี้เมื่อไร ระบบจะปิดออเดอร์ทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อหยุดการขาดทุน
  • SL ALL (%) – ตั้งจุดกันขาดทุนเป็น “เปอร์เซ็นต์” เช่น 5% ของทุน 1,000$ ก็หมายถึงเมื่อไรที่ขาดทุนจนถึง – 50$ ระบบจะปิดออเดอร์ทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อหยุดการขาดทุน

ระบบ Rebalance ทำงานยังไง?

ก่อนที่จะมาทำความเข้าใจว่าระบบ Rebalance ทำงานอย่างไร? ยังมีอีกเรื่องสำคัญที่ผู้ใช้งาน EA Thailand ต้องทำความเข้าใจก่อนเลย นั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “Magic Number”

Magic Number คืออะไร?

Magin Number เป็น “ตัวเลขที่ระบบใช้แยกแยะว่าออเดอร์ไหนมาจากระบบไหน” เพื่อไม่ให้ระบบเกิดความสับสน หรือสั่งงานผิดพลาดระหว่างกัน โดยเฉพาะเวลาคุณรันหลาย EA หลายกลยุทธ์ในบัญชีเดียวกัน

ตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ

  • Preset A ตั้ง Magic Number เป็น “5”
  • Preset B ตั้ง Magic Number เป็น “6”

แบบนี้ระบบก็จะรู้ได้ทันทีว่า ออเดอร์จาก Magic Number 5 คือของ Preset A และ Magic Number 6 คือของ Preset B – ซึ่งแยกกันอย่างชัดเจน ไม่ปนกันแต่อย่างใด

จุดเริ่มต้น Magic Number “0”

โดยปกติแล้ว ถ้าคุณไม่ได้ตั้ง Magic Number เอง Preset ที่สร้างและใช้งานจะใช้เลข “0” ซึ่งถือเป็นค่า Default (ค่าพื้นฐาน)  เริ่มต้นสำหรับการใช้ 

แล้วปัญหาคืออะไรกันละ ? ถ้าในกรณีที่คุณใช้หลาย Preset แล้วปล่อยให้ทุกอันใช้ Magic Number เป็นเลข “0” หรือแม้แต่ไม่ได้ตั้งอะไรไว้เลย ออเดอร์จากทุก Preset จะไปถูกรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกันหมด เพราะระบบไม่สามารถแยกแยะได้ว่าออเดอร์ไหนมาจากระบบไหน

และที่สำคัญเลย ถ้าคุณเปิดออเดอร์ด้วยมือ (Manual Trade) หรือใช้ EA ผ่าน VPS ระบบก็จะใส่ออเดอร์เหล่านั้นเข้าไปในกลุ่ม Magic Number “0” ด้วยเช่นกัน > จนอาจเกิดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่ทำให้การเทรดอัตโนมัติไม่ทำงานได้ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ในการงาน

  • ควรตั้ง Magin Number ให้ไม่ซ้ำกัน สำหรับทุก Preset
  • ใช้เลขง่าย ๆ เช่น 1, 2, 3, 4 ไปเรื่อย ๆ หรือเลขที่จำได้ง่ายตามชื่อกลยุทธ์หรือ Preset
  • กำหนดค่า Preset ของ Magic Number 0 ไว้ด้วย เพราะถ้า Preset ที่มี Magic Number 0 ไม่ได้มีการตั้งค่าอะไรไว้เลย ออเดอร์ที่เปิดด้วยมือตัวเอง จะไม่มีการแก้ไม้ หรือถูกเปิดทิ้งให้วิ่งไปเรื่อย ๆ 
แล้วถ้า Magic Number ซ้ำกันจะเกิดอะไรขึ้น?

การตั้ง Magic Number ซ้ำกัน ถือเป็นหนึ่งในเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้ามกัน แต่จริง ๆ แล้วมันอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบ EA Thailand ได้แบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว โดยเฉพาะในกรณีที่คุณรันหลาย Preset หรือหลายกลยุทธ์ในบัญชีเดียวกัน โดยขอแบ่งให้เข้าใจง่าย ๆ เป็น 2 กรณีหลัก ๆ ดังนี้

1. ใช้ Magic Number ซ้ำกันใน “สินทรัพย์เดียวกัน”

ถ้าคุณใช้งาน EA 2 กลยุทธ์พร้อมกันในทองคำ (XAU/USD) เช่น

  • Preset A ใช้ Magic Number = 5
  • Preset B ก็ใช้เลขเดียวกัน = 5 เช่นกัน

ในกรณีแบบนี้ระบบจะเกิดความสับสน เพราะมันจะคิดว่าทั้งสอง Preset คือระบบเดียวกัน และผลที่เกิดขึ้นเลยก็คือ Preset ตัวที่โหลดหรือเปิดใช้งานทีหลัง (เช่น Preset B) จะไม่ทำงาน หรือแม้แต่จะไม่เปิดออเดอร์ใด ๆ เลย เพราะระบบ “มองไม่เห็นความแตกต่าง” ของกลยุทธ์ทั้งสอง หรือพูดง่าย ๆ เลยคือ Preset ที่คุณตั้งใจให้ทำงานพร้อมกัน ก็จะเหลือรันเพียงแค่ตัวเดียว

2. ใช้ Magic Number ซ้ำกัน แต่ “คนละสินทรัพย์”

ถ้าคุณมีการเปิดใช้งานหลาย Preset เช่น

  • Preset A รันทองคำ (XAU/USD) > Magic Number = 10
  • Preset B รันคู่สกุลเงิน (Forex) EUR/USD > Magic Number = 10 เหมือนกัน
  • Preset C รันบิทคอยน์ BTC/USD > Magic Number = 10 เหมือนกันอีก

ในกรณีแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย เพราะระบบจะรู้ว่า แม้ Magic Number จะซ้ำกัน แต่สินทรัพย์ที่เปิดใช้งาน Preset “ไม่เหมือนกัน” > ระบบจะแยกกลยุทธ์ออกจากกันอยู่แล้วโดยอ้างอิงจากชื่อคู่เงินหรือสินทรัพย์เป็นหลัก ดังนั้นถ้าคุณเปิดเทรดในหลาย ๆ สินทรัพย์พร้อมกัน ก็สามารถใช้ Magic Number เดียวกันได้ ตราบใดที่เป็นคนละสินทรัพย์

เมื่อเข้าใจแล้วว่า Magic Number คืออะไร ทีนี้ก็มาดูตัวอย่างการทำงานของระบบ Rebalance กันต่อได้เลยว่ามันทำงานอย่างไร ?

ตัวอย่างการทำงานของระบบ Rebalance

Rebalance คือระบบที่ช่วยรวมกำไร (TP) และขาดทุน (SL) จากทุก Preset หรือทุกกลยุทธ์ที่รันอยู่ในบัญชีเดียวกัน แล้วใช้ “Equity” ของบัญชีเป็นตัวคำนวณภาพรวมของพอร์ต เมื่อ Equity ถึงเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ เช่น ได้กำไรตามเป้า > TP All / ขาดทุนถึงจุดที่รับได้ > SL All ระบบจะ ปิดทุกออเดอร์ทันที เพื่อสรุปผลทั้งพอร์ตโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งดูหรือจัดการทีละระบบ ทีนี่มาลองดูตัวอย่างที่ให้เห็นการทำงานง่าย ๆ ของ Rebalance กันเลย

จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่า มีการเปิดใช้งาน 2 Preset พร้อมกันในบัญชีเทรดเดียวกัน โดยขอแบ่งให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า

  • Preset A
  • Preset B

ในตัวอย่างนี้ เราได้ตั้งค่า Rebalance ไว้ที่ TP All ($) = 100$
หมายความว่า ถ้ากำไรสุทธิของทั้งพอร์ต (รวมทุกระบบ) ถึง 100$ เมื่อไหร่ ระบบจะปิดออเดอร์ทั้งหมดให้อัตโนมัติ ทีนี้มาดูสถานการณ์ในภาพกัน

  • Preset A กำลังขาดทุน (SL) อยู่ ประมาณ -50$
  • ส่วน Preset B กำลังทำกำไร (TP) อยู่ ประมาณ +150$

พอเอามาหักลบกัน > กำไรสุทธิรวมของพอร์ต > 150 – 50 = 100$ พอดี

ซึ่งตรงตามเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ใน Rebalance > ระบบจึงสั่งปิดออเดอร์ทั้งหมดทันที เพื่อสรุปกำไรและรีเซ็ตสถานะของพอร์ตทั้งหมด 

คำเตือนสำคัญเกี่ยวกับระบบการทำงาน Rebalance

*** ข้อควรระวังที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้งาน Rebalance เลยคือ อย่าตั้ง TP หรือ SL แยกไว้ในแต่ละ Preset เพราะหากระบบใดระบบหนึ่งได้กำไร แล้วปิดออเดอร์ก่อนระบบอื่นจะขาดทุน มันจะไม่สะท้อน “ภาพรวมของพอร์ต” ได้อย่างถูกต้อง > อาจกลายเป็นว่าปิดเร็วเกินไป หรือเสียหายมากกว่าที่ควร 

Rebalance จึงเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนคุณ — คอยจับตาทั้งพอร์ต ว่าทั้งหมดรวมกันแล้ว กำลังไปในทิศทางที่ควร “หยุด” หรือยังไปต่อได้ ผ่านการตั้งค่า TP All / SL All ในส่วนของ Rebalance

Rebalance ช่วยอะไรได้บ้าง ?

Rebalance ช่วยอะไรได้บ้าง ?

การใช้ EA หลายระบบหรือเปิด Preset หลาย ๆ ตัวพร้อมกันในบัญชีเดียว อาจทำให้การจัดการพอร์ตแบบภาพรวมซับซ้อนขึ้นมากกว่าที่หลายคนคิด ซึ่งในจุดนี่แหละที่ Rebalance จะเข้ามาช่วยได้อย่างตอบโจทย์

  1. จบปัญหาความซับซ้อนของหลายระบบในบัญชีเดียว

แทนที่ผู้เทรดจะต้องมาไล่ดูทีละ Preset หรือทีละหน้า ว่าแต่ละอันทำกำไรหรือขาดทุนได้เท่าไรแล้ว ระบบ Rebalance จะเข้ามาช่วยรวมข้อมูลเหล่านี้ในทุกระบบให้เป็น “ภาพรวม” เดียวกันมากขึ้น ผ่านการจัดการตั้งค่า TP All / SL All ที่ช่วยให้ตัดสินใจในการปิดออเดอร์ได้ง่ายขึ้น และไม่พลาดมุมสำคัญของพอร์ตว่าเป็นอย่างไร

  1. ป้องกันการ Overtrade หรือระบบที่ลากพอร์ตไปโดยไม่รู้ตัว

บางครั้ง EA หรือ Preset บางตัวอาจทำงานต่อเนื่องมากจนเกินไป จนพอร์ตเข้าสู่จุดเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว – ด้วย Rebalance จะมาช่วยตั้งเงื่อนไข TP/SL รวมให้ทั้งพอร์ตว่าเมื่อถึงจุดไหนที่ควรหยุด ระบบก็จะปิดออเดอร์ทั้งหมดทันที ช่วยหยุดความเสี่ยงไว้ก่อนจะสายเกินไป

  1. ลดความเครียดของผู้ใช้ EA ที่ต้องตามทุก Preset

ปัญหาเล็ก ๆ สำหรับผู้ที่เปิด EA หรือ Preset หลาย ๆ ตัวพร้อมกันเลยคือ ต้องมาคอยนั่งสลับหน้าจอไปดูทีละระบบ ว่าตอนนี้กำลังได้หรือเสีย ซึ่งนอกจากเสียเวลาแล้ว ยังทำให้เกิดความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่รู้ตัว 

แต่ถ้าใช้ Rebalance ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเลย เพราะระบบนี้จะทำหน้าที่เสมือน ผู้จัดการพอร์ตส่วนตัว ที่คอยสรุปผลภาพรวมให้คุณตลอด ไม่ว่าจะเป็น 

  • ถ้าพอร์ตกำไร (TP) ถึงจุดที่ตั้งไว้ > ระบบก็จะปิดออเดอร์ทั้งหมดให้ทันที 
  • ถ้าขาดทุน (SL) ถึงระดับที่รับได้ > ระบบก็ปิดออเดอร์ทุกอย่างไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตเสียหายหนัก 

พูดง่าย ๆ เลยคือ Rebalance ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอ และปล่อยเทรดอัตโนมัติได้แบบเต็มที่ และยังมั่นใจได้ว่าพอร์ตจะถูกดูแลให้อยู่ในเงื่อนไขที่คุณวางไว้เสมอ

บทสรุป

สำหรับคนที่ชอบเทรดด้วย EA หลาย ๆ ระบบหรือ Preset หลายตัวพร้อมกันในบัญชีเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยง หรือต้องการทำกำไรให้มากขึ้นก็แล้วแต่ การจัดการพอร์ตให้เห็นภาพรวมจริง ๆ กลับกลายเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละระบบอาจมีผลลัพธ์ที่สวนทางหรือไม่เหมือนกัน เช่น ระบบหนึ่งทำกำไรได้ แต่อีกระบบกำลังขาดทุนอยู่ – ทำให้การประเมินพอร์ตจากยอด Balance เพียงอย่างเดียวไม่อาจสะท้อนความจริงทั้งหมดได้

Rebalance จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่รวบรวม TP/SL จากทุกระบบแล้วใช้ Equity เป็นตัวตัดสินใจ เมื่อถึงจุดทำกำไร (TP) / หรือจุดกันขาดทุน (SL) ระบบก็จะทำการปิดออเดอร์ทั้งหมดในพอร์ตให้ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตหลุดการควบคุม และลดความเครียดจากการต้องไล่ดูทุก Preset อยู่ตลอดเวลา ๆ ถ้าให้สรุปเข้าใจได้ง่าย ๆ เลยคือ Rebalance ทำให้การเทรดหลาย ๆ ระบบหรือหลาย Preset นั้น “ปลอดภัยและง่ายมากยิ่งขึ้น” นั่นเอง

ลงทะเบียนสัมมนา