วิเคราะห์กราฟด้วย Higher High Lower Low วิธีอ่านโครงสร้างตลาดที่ง่ายแต่ทรงพลัง

วิเคราะห์กราฟด้วย Higher High Lower Low วิธีอ่านโครงสร้างตลาดที่ง่ายแต่ทรงพลัง
สารบัญ

ตลาดการเงินก็เปรียบเสมือนกับเกมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามีกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณมองเห็นเส้นทางการทำเงินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีนี้ก็คือการวิเคราะห์ Higher High Lower Low ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจโครงสร้างของราคาเพื่อหาจุดเข้าของตลาดได้อย่างทรงพลัง ถ้าคุณเคยเปิดกราฟแล้วไม่รู้ว่าจะ Buy หรือ Sell ดี? เครื่องมือนี้คือตัวช่วยที่ทำให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะออกออเดอร์เมื่อไหร่ เพื่อเปลี่ยนเกมการลงทุนมีความเฉียบคมขึ้นอีกระดับ

Higher High และ Lower Low คืออะไร?

Higher High และ Lower Low คืออะไร

ในตลาดการเงิน ทุกการเคลื่อนไหวของราคาล้วนสะท้อนถึงแรงซื้อและแรงขายที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา การจะเข้าใจแนวโน้มของตลาดอย่างแท้จริง คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจ “โครงสร้างตลาด” หรือพฤติกรรมของราคาในภาพรวม ซึ่งแนวคิดนี้มีรากฐานมาจาก ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ที่ระบุว่าแนวโน้มของตลาดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend), แนวโน้มขาลง (Downtrend) และช่วงพักตัว (Sideway)

โดยการทำความเข้าใจ Higher High (HH) , Lower Low (LL) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดตามหลักการของทฤษฎีดาว โดย HH คือการที่ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดก่อนหน้า ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น ส่วน LL คือการที่ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มขาลง นอกจากนี้ ยังมี Higher Low (HL) และ Lower High (LH) ที่ช่วยให้เราวิเคราะห์จังหวะการกลับตัวของตลาดได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น

ทฤษฎีดาวให้ความสำคัญกับพฤติกรรมราคาที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนแปลงของ HH, HL, LH และ LL เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้

1. Higher High (HH) – จะเกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
ความหมาย: บ่งบอกว่าแรงซื้อในตลาดมีความแข็งแกร่ง
การทำงาน: เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมได้ > แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของแรงซื้อ
ตัวอย่าง: จุดสูงสุดแรกที่ 1.200 และราคาขึ้นไปแตะ 1.250 → จะทำให้เกิด HH ใหม่

2. Higher Low (HL) – เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า
ความหมาย: บ่งบอกถึงการย่อตัวในแนวโน้มขาขึ้น แต่แรงซื้อยังคงแข็งแกร่งพอที่จะไม่ให้ราคาลงมาต่ำกว่าจุดเดิม
การทำงาน: HL มักเป็นจุดที่ราคาย่อตัวลงเพื่อสะสมพลังซื้อ ก่อนที่จะขึ้นไปสร้าง HH ใหม่
ตัวอย่าง: จุดต่ำสุดแรกที่ 1.150 และราคาย่อลงมาที่ 1.200 → เกิด HL ซึ่งสูงกว่าจุดต่ำสุดเดิม

3. Lower High (LH) – เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
ความหมาย: บ่งบอกถึงการดีดตัวขึ้นในแนวโน้มขาลง แต่แรงขายยังคงแข็งแกร่งพอที่จะไม่ให้ราคาขึ้นสูงกว่าจุดเดิม
การทำงาน: LH มักเป็นจุดที่ราคาดีดขึ้นเพื่อทดสอบแนวต้าน ก่อนที่จะลงไปสร้าง LL ใหม่
ตัวอย่าง: จุดสูงสุดแรกที่ 1.050 และราคาดีดขึ้นมาที่ 1.000 → เกิด LH ซึ่งต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม

4. Lower Low (LL) – เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า
ความหมาย: บ่งบอกว่าแรงขายในตลาดมีความแข็งแกร่ง
การทำงาน: เมื่อราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง และสามารถทะลุจุดต่ำสุดเดิมได้ → แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของแรงขาย
ตัวอย่าง: จุดต่ำสุดแรกที่ 1.000 และราคาลงไปแตะ 0.950 → จะทำให้เกิด LL ใหม่


ทำไมการใช้ HH และ LL ถึงสำคัญกับการเข้าออเดอร์?

ทำไมการใช้ HH และ LL ถึงสำคัญกับการเข้าออเดอร์

การใช้ HH และ LL ในการตัดสินใจเข้าออเดอร์เป็นหลักการสำคัญที่มาจาก ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ซึ่งเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดผ่านการสังเกตจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา โดยเหตุผลที่ Indicator นี้มีความสำคัญต่อการเข้าออเดอร์ก็คือ

1. บอกแนวโน้มของตลาด
การที่ราคาสร้าง HH ต่อเนื่องบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ซึ่งเป็นสัญญาณให้นักเทรดพิจารณาเปิดสถานะซื้อ (Buy) เพื่อทำกำไรจากการขึ้นของราคาในทางกลับกัน การที่ราคาสร้าง LL ต่อเนื่องบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง (Downtrend) ซึ่งเป็นสัญญาณให้นักเทรดพิจารณาเปิดสถานะขาย (Sell) เพื่อทำกำไรจากการลดลงของราคา โดยหากดูตามเงื่อนไขในหัวข้อก่อนหน้านี้จะพบเลยว่านั่นคือรูปแบบหนึ่งของการยืนยันโรงสร้างของตลาดที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจนถึง

2. ระบุจุดกลับตัวของแนวโน้ม
ทฤษฎีนี้ไม่ได้บอกเกี่ยวกับเรื่องของการหาเทรนด์เพียงของตลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถที่จะหาจุดกลับตัวได้ด้วย ซึ่งหากราคาที่เคยสร้าง HH และ HL ต่อเนื่อง เริ่มสร้าง LH และ LL แทน อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง ในขณะเดียวกันหากราคาที่เคยสร้าง LL และ LH ต่อเนื่อง เริ่มสร้าง HL และ HH แทน อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นนั่นเอง

ทั้งหมดน้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราสามารถใช้เงื่อนไขที่เกิดขึ้นในการเลือกเข้าหรือออกออเดอร์ได้นั่นเอง สังเกตได้เลยว่าเพียงแค่การอ่านโครงสร้างตลาดให้ออกก็ช่วยให้คุณสามารถรู้ทิศทางแล้วว่าแนวโน้มของราคาจะไปในทางไหนต่อ

วิธีการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดด้วย HH HL LH และ LL

การวิเคราะห์ตลาดด้วยการสังเกต HH, HL, LH และ LL ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้อย่างลึกซึ้ง โครงสร้างเหล่านี้เปรียบเสมือน “ภาษาของตลาด” ที่บ่งบอกถึงจังหวะของแรงซื้อและแรงขายในแต่ละช่วงเวลา การใช้ HH, HL, LH และ LL ช่วยให้นักลงทุนหรือนักเทรดสามารถแยกแยะแนวโน้มที่แท้จริงจากสัญญาณรบกวน (Noise) ในกราฟราคาได้ พร้อมทั้งระบุจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญในตลาดที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่ชัดเจนและแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยวิธีการใช้ในแต่ล่ะ trend สามารถที่จะสังเกตได้ดังนี้

แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
ตลาดจะมีลักษณะเฉพาะที่ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High – HH) และจุดต่ำสุดใหม่ (Higher Low – HL) อย่างต่อเนื่อง การสร้าง HH บ่งบอกถึงแรงซื้อที่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ HL บ่งบอกถึงจุดพักตัวชั่วคราวที่ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อ เนื่องจากราคาย่อลงมาไม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า การวิเคราะห์โครงสร้างในลักษณะนี้ทำให้นักลงทุนสามารถมองหาจุดเข้าออเดอร์ (Entry Point) ได้ที่ HL ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาย่อตัวและพร้อมที่จะขึ้นต่อ โดย HH และ HL ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง

แนวโน้มขาลง (Downtrend)
คือการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low – LL) และจุดสูงสุดใหม่ (Lower High – LH) อย่างต่อเนื่อง การเกิด LL บ่งบอกถึงแรงขายที่สามารถดันราคาให้ต่ำลงกว่าเดิม ขณะที่ LH แสดงถึงจุดดีดตัวชั่วคราวซึ่งไม่สามารถขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าได้สำเร็จ แรงขายที่ครองตลาดในลักษณะนี้จะทำให้ราคายังคงเคลื่อนที่ลงต่อ นักลงทุนสามารถใช้จุด LH เป็นจุดเข้าออเดอร์ขาย (Sell Entry) โดย LL และ LH ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นตัวบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินอยู่

ตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway)
เป็นสถานการณ์ที่ราคาสร้าง HH หรือ LL ใหม่ไม่ได้ และเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นไม่มีความต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างตลาดไม่สามารถบ่งชี้ทิศทางที่ชัดเจนได้ ในลักษณะนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าออเดอร์หรือใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาด Sideway เช่น การซื้อขายในช่วงแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance)

ดังนั้น การวิเคราะห์โครงสร้างตลาดด้วย HH, HL, LH และ LL จึงถือเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ที่นักลงทุนทุกคนควรทำความเข้าใจ โดยการใช้โครงสร้างเหล่านี้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น Moving Average (MA) หรือ Fibonacci Retracement สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการวางกลยุทธ์การลงทุนได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ การเข้าใจโครงสร้างตลาดช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หลักการใช้งาน นับซ้าย (Left) / ขวา (Rights) หรือ คืออะไร?

หลักการใช้งาน นับซ้าย(left)ขวา(rights) หรือ คืออะไร

การใช้งาน นับซ้าย (Left) และ นับขวา (Right) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้นักเทรดอย่างเราดูกราฟได้ง่ายขึ้นและแม่นยำมากขึ้น หลักการก็ง่ายมาก เพราะมันคือการดูว่าแท่งเทียนในกราฟราคาที่เรากำลังสนใจนั้นเป็นจุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) ที่มีนัยสำคัญจริงหรือเปล่า โดยการเปรียบเทียบกับแท่งเทียนรอบข้าง ทั้งด้านซ้าย (แท่งก่อนหน้า) และด้านขวา (แท่งถัดไป)

โดยให้ลองนึกภาพแบบนี้ว่าถ้าคุณกำลังสงสัยว่าราคาปัจจุบันแตะที่ 1.250 เป็น Higher High (HH) จริงหรือเปล่า การนับซ้าย (Left) จะช่วยให้เราดูแท่งก่อนหน้าว่า ราคาสูงสุดใน 3 หรือ 5 แท่งนั้นต่ำกว่าราคาปัจจุบันไหม เช่น 1.240, 1.230, 1.220 ถ้าต่ำกว่าหมด ก็เป็นไปได้ว่าราคานี้อาจจะเป็นจุด HH ได้

แต่ถ้าอยากชัวร์กว่านี้ ก็ต้องใช้การนับขวา (Right) มาช่วยยืนยันอีกแรง ซึ่งวิธีการก็คือ รอดูแท่งถัดไปอีก 2-3 แท่งว่าราคาสูงสุดของมันจะต่ำกว่าราคา 1.250 หรือเปล่า เช่น แท่งถัดไปทำจุดสูงสุดแค่ 1.240 และ 1.230 แบบนี้ก็แปลว่าจุด 1.250 ที่คุณดูอยู่นั้นเป็น HH จริง ๆ

ประโยชน์ของการนับซ้าย-ขวานี้เองที่ช่วยลดปัญหาสัญญาณหลอก (False Signal) ได้เยอะเลย บางทีราคาอาจเด้งขึ้นมาชั่วคราวแล้วเราก็คิดว่าเป็น HH แต่ถ้าไม่มีการตรวจสอบทั้งสองฝั่ง เราอาจจะเผลอเข้าออเดอร์ผิดจังหวะได้ การตรวจสอบทั้งซ้ายและขวาจึงช่วยให้เรามั่นใจมากขึ้นว่าจุดที่เราวิเคราะห์คือจุดสำคัญจริง ๆ

ถ้าคุณใช้ MetaTrader หรือ TradingView คุณสามารถปรับจำนวนแท่งเทียนที่ต้องการตรวจสอบได้ เช่น ตั้ง Left Count และ Right Count ไว้ที่ 3 หรือ 5 แท่ง ถ้าตั้งจำนวนน้อยเกินไป (เช่น 2 แท่ง) สัญญาณอาจจะเร็วแต่ไม่แข็งแรง แต่ถ้าตั้งค่ามากเกินไป (เช่น 7 แท่ง) สัญญาณจะมั่นคงแต่ช้าหน่อย

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นสายเทรดเร็ว อาจตั้งค่าให้ดูแค่ 2-3 แท่งก็พอ แต่ถ้าคุณเป็นสายเทรดระยะยาว อยากได้ความมั่นใจมาก ๆ ก็เลือก 5-7 แท่งตามความเหมาะสมของคุณ และที่สำคัญ เทคนิคนี้จะได้ผลดีมากเมื่อใช้ร่วมกับการดูโครงสร้างตลาดแบบ HH, HL, LH, และ LL เพราะจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพใหญ่ของแนวโน้มตลาดได้ชัดขึ้น ถ้าให้สรุปง่าย ๆ คือ การนับซ้าย-ขวาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การวิเคราะห์ของคุณไม่พลาดจังหวะสำคัญ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ ลองฝึกใช้วิธีนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่าการเทรดให้แม่นไม่ใช่เรื่องยากเลย

บทสรุป

การอ่านตลาดให้ออก ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจในโครงสร้างตลาดอย่างลึกซึ้ง และ การใช้ HH -LL ก็นับเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่การเทรดอย่างมืออาชีพ เพิ่มโอกาสในการจับจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในทุกสถานการณ์ของตลาด โดยแน่นอนว่าหากใช้ร่วมกับ Indicator อื่นก็จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจในการออกออเดอร์ได้อย่างเฉียบคม โดยเฉพาะการใช้เพื่อยืนยันเทรนในตลาดก็จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจขึ้นไปอีกขั้น

และตอนนี้ มีข่าวดีสำหรับทุกคนก็คือ EA Thailand ของเราได้ออกแบบระบบมาเพื่อให้คุณสามารถใช้งาน Indicator HHLL เพื่อออกออเดอร์ให้คุณอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย ช่วยยกระดับการตัดสินใจในการลงทุนให้เฉียบคมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้เริ่มต้นหรือระดับมืออาชีพก็สามารถใช้ EA เพื่อช่วยในการเทรดได้อย่างทรงพลัง บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่คุณไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

ลงทะเบียนสัมมนา