เทคนิคอ่าน RSI อย่างเซียนจับจังหวะการเทรดอย่างแม่นยำแบบมือโปร

RSI
สารบัญ

หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยให้จับจังหวะการซื้อขายในตลาดได้อย่างแม่นยำ เชื่อเลยว่า RSI (Relative Strength Index) น่าจะเป็นตัวเลือกในอันดับแรก ๆ ที่เหล่าเทรดเดอร์ต้องไม่พลาด แต่ทว่าแต่การอ่านค่าของเครื่องมือตัวนี้กลับไม่ใช่แค่เรื่องของการมองตัวเลขธรรมดา เพราะมันคือเรื่องของการเข้าใจพฤติกรรมตลาดและนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลให้ทะลุปรุโปร่ง ตามสัญญาณที่ปรากฏออกมา

โดยบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ เทคนิคการอ่าน RSI ที่จะทำให้คุณสามารถจับจังหวะการเทรดได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการหาจุดซื้อที่เหมาะสม หรือการระวังจุดขายที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยง เพื่อให้การเทรดกลายเป็นเรื่องง่ายและได้ผลจริง

ทำความรู้จัก RSI ทำไมถึงเป็น Indicator ที่สำคัญ

ก่อนที่เราจะเริ่มต้นเจาะลึกไปถึงเทคนิคการใช้ RSI ให้ได้ผลอย่างมือโปร เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า Indicator ตัวนี้ทำงานอย่างไร เพราะการรู้จักพื้นฐานจะช่วยให้คุณสามารถนำเครื่องมือนี้ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมืออาชีพ การรู้ว่าค่าต่าง ๆ นั้นบอกอะไรเรา และมีวิธีการใช้งานอย่างไร จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้คุณสามารถรู้พฤติกรรมของตลาดได้อย่างแม่นยำ

RSI คืออะไร?

RSI (Relative Strength Index) เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย J. Welles Wilder เป็น Indicator ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเทรด เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยบอกสัญญาณการซื้อขาย แต่ยังเป็นเหมือนการเปิดแผนที่ทางการตลาดให้คุณเห็นเส้นทางว่าเมื่อไหร่ควร “รุก” หรือ “ถอย” ตั้งแต่ราคาหุ้นไปจนถึงตลาดเงินต่าง ๆ สามารถใช้กับสินทรัพย์ได้แทบทุกประเภท จึงไม่แปลกใจที่มันกลายเป็นตัวช่วยอันดับต้น ๆ ของนักเทรดทั้งมือใหม่และมือเก๋า

โดยในแง่ของ การใช้งานพื้นฐาน RSI มีหน้าที่วัด “แรง” ของตลาด ไม่ว่าจะเป็นแรงซื้อหรือแรงขาย โดยมีส่วนประกอบดังนี้

1. ช่วงค่า RSI Range 0-100

RSI ถูกออกแบบมาให้อยู่ในช่วง 0-100 ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกถึงความแรงของแรงซื้อหรือแรงขายในตลาด โดยค่าเหล่านี้แบ่งเป็น 3 โซนหลัก ๆ

  • โซน 70 ขึ้นไป (Overbought): เมื่อค่า RSI เข้าใกล้หรือเกิน 70 นั่นหมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะที่คนซื้อเยอะจนเกินไป ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าราคาสินทรัพย์ใกล้จะกลับทิศทางหรือปรับตัวลง คนที่ใช้ RSI จะระวังช่วงนี้เพื่อไม่ให้ซื้อตามอารมณ์ตลาดที่พุ่งแรงเกินไป
  • โซน 30 หรือต่ำกว่า (Oversold): ตรงกันข้ามกับโซน Overbought เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 ตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่ถูกขายมากเกินไป นี่คือโอกาสในการเข้าซื้อ เพราะราคามีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังจากแรงขายหมดแรง
  • โซนกลาง (Neutral Zone): ค่า RSI ที่อยู่ระหว่าง 30-70 เป็นโซนที่เรียกว่า “กลาง ๆ” หรือเป็นช่วงที่ตลาดไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงมาก เป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดยังคงนิ่ง ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแรงซื้อแรงขายที่ชัดเจน

การอยู่ในโซนกลางไม่จำเป็นว่าคุณต้องนิ่งรอดูเท่านั้น เพราะนักเทรดบางคนก็มักจะใช้ช่วงระหว่างกลางนี้ ในการหาโอกาสซื้อขายระยะสั้น ๆ หากพวกเขาเห็นสัญญาณแนวโน้มใหม่เกิดขึ้น

2. ค่าตั้งต้นของ RSI (14 Period)

ช่วงเวลาเริ่มต้นที่ใช้คำนวณ RSI ปกติจะอยู่ที่ 14 วัน โดยเป็นค่ามาตรฐานที่ Wilder ผู้สร้าง RSI แนะนำ นี่หมายความว่า RSI จะนับรวมการเคลื่อนไหวของราคาในช่วง 14 วันที่ผ่านมาเพื่อวิเคราะห์แรงซื้อแรงขาย:

  • หากวันไหนมีแรงซื้อเยอะ ค่า RSI จะเพิ่มขึ้น
  • หากวันไหนมีแรงขายเยอะ ค่า RSI จะลดลง

นักเทรดสามารถปรับค่าช่วงเวลาได้ตามสไตล์การเทรดของตัวเอง เช่น หากคุณเป็นนักเทรดรายวันที่ต้องการดูการเคลื่อนไหวรวดเร็ว อาจปรับเป็น 9 หรือ 7 วันเพื่อเพิ่มความไวของ RSI ส่วนถ้าเป็นเทรดระยะยาว อาจเลือกช่วง 21 หรือ 30 วันเพื่อให้ RSI ดูแนวโน้มได้กว้างขึ้น

โดยหากคุณต้องการเน้นการเทรดระยะสั้น การใช้ RSI ช่วงเวลาสั้น ๆ จะตอบโจทย์ดีมาก แต่มันก็อาจไวต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ด้วย จึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวังเป็นอย่างมาก

สูตรคำนวณ RSI

3. สูตรคำนวณ RSI

แม้ว่าการใช้งานจริงเราจะไม่ต้องลงมือคำนวณเอง เนื่องจากมีโปรแกรมคอยคำนวณให้เราแบบเบ็ดเสร็จ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะเราจะได้รู้ว่าแต่ล่ะค่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยสูตรคำนวณจะมีดังนี้

1.คำนวณค่า RS โดยใช้สูตร

สูตรคำนวณ RSI 1

โดยที่ RS หรือ Relative Strength คืออัตราส่วนของค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวราคาที่เพิ่มขึ้นกับค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวราคาที่ลดลงในช่วงเวลาที่กำหนด (ปกติคือ 14 วัน) ในแง่ภาคปฏิบัติ ค่า RS จะทำให้เรารู้ว่าตลาดมีแนวโน้มแรงซื้อหรือแรงขายมากกว่ากันนั่นเอง

2.คำนวณ RSI โดยใช้สูตร

คำนวณ RSI โดยใช้สูตร

ขั้นตอนการคำนวณ คือ

ขั้นตอนแรก เราจะเริ่มจากการดูการเปลี่ยนแปลงของราคาปิดในแต่ละวัน สมมติว่าคุณดูราคาปิดของหุ้นใน 14 วัน วันไหนที่ราคาปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า เราจะนับเป็น “กำไร” (Gain) เช่น ถ้าราคาปิดวันนี้คือ 102 บาท แต่เมื่อวานคือ 100 บาท แปลว่ามีกำไร 2 บาท แต่ถ้าวันไหนราคาปิดต่ำกว่าเมื่อวาน เราจะนับเป็น “ขาดทุน” (Loss) เช่น วันนี้ปิดที่ 101 บาท แต่เมื่อวาน 103 บาท แปลว่าขาดทุน 2 บาท

ขั้นตอนที่สอง เมื่อได้ข้อมูลว่ามีวันไหนบ้างที่มีกำไรและวันไหนขาดทุน เราจะเอามาหาค่าเฉลี่ย การคำนวณเฉลี่ยคือการเอาผลรวมของกำไรในแต่ละวันมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนวัน (ปกติใช้ 14 วัน) เช่น ถ้าใน 14 วัน มีกำไรรวม 28 บาท ค่าเฉลี่ยกำไรก็จะเป็น 28 ÷ 14 = 2 ส่วนขาดทุนก็ทำเหมือนกัน คือบวกผลรวมของวันที่ขาดทุนแล้วหารด้วย 14

ขั้นตอนที่สาม เมื่อเราคำนวณได้ค่าเฉลี่ยของกำไรและขาดทุนแล้ว เราจะนำมาคำนวณค่า RS (Relative Strength) โดยเอาค่าเฉลี่ยกำไร (Average Gain) หารด้วยค่าเฉลี่ยขาดทุน (Average Loss) สมมติว่าค่าเฉลี่ยกำไรเท่ากับ 2 และค่าเฉลี่ยขาดทุนเท่ากับ 1 ค่า RS ก็จะเป็น 2 ÷ 1 = 2

ขั้นตอนสุดท้าย เราจะใช้ค่า RS ที่ได้ไปคำนวณค่า RSI ด้วยสูตร

คำนวณ RSI โดยใช้สูตร

จากตัวอย่าง ถ้า RS = 2 ค่า RSI ก็จะคำนวณออกมาเป็น

คำนวณ RSI โดยใช้สูตร 2

ดังนั้น ค่า RSI ของหุ้นในช่วง 14 วันจะเท่ากับ 66.67 ซึ่งหมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่ยังไม่ถึงจุด Overbought หรือ Oversold แต่ใกล้จะเข้าสู่ช่วงซื้อมากเกินไปเมื่อ RSI สูงกว่า 70

การคำนวณแบบนี้ช่วยให้เห็นแนวโน้มว่าหุ้นกำลังจะปรับขึ้นหรือลง เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อขายได้

4. ค่ากลางหรือ Neutral Line (50 Level)

ตรงกลางระหว่าง 0 ถึง 100 จะมีค่า 50 ซึ่งเป็นค่ากลางหรือจุดสมดุลของ RSI บ่งบอกถึงช่วงที่ตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน:

  • เมื่อ RSI เคลื่อนที่เหนือ 50 นั่นหมายความว่าแรงซื้อเริ่มเหนือกว่าแรงขาย
  • เมื่อ RSI ต่ำกว่า 50 แรงขายก็จะเหนือกว่าแรงซื้อ

แม้ว่าโซน Overbought และ Oversold จะเป็นจุดที่น่าจับตามอง แต่ระดับ 50 ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มเช่นกัน เมื่อค่า RSI ตัดผ่านระดับ 50 ขึ้นหรือลง นั่นอาจเป็นจุดสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ได้

การรู้จัก ส่วนประกอบของ RSI จึงทำให้คุณไม่เพียงแค่เข้าใจเครื่องมือนี้อย่างลึกซึ้ง แต่ยังสามารถใช้มันในการวิเคราะห์ตลาดได้แม่นยำมากขึ้น การมอง RSI เป็นเครื่องมือที่มีหลายมิติ ไม่ใช่แค่ตัวเลข 0-100 จะช่วยให้คุณใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในตลาดที่เป็นแนวโน้มหรือแม้กระทั่งตลาดที่นิ่ง (sideway) สุดท้าย ความลับก็คือการเข้าใจการผสมผสานทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้คุณสามารถที่จะตัดสินใจออกออเดอร์ได้อย่างเฉียบคมนั่นเอง

เทคนิคการใช้ RSI

เทคนิคการใช้ RSI ในการวิเคราะห์ตลาดแบบเจาะลึก

ก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์ตลาดแบบเจาะลึกด้วย RSI (Relative Strength Index) เราควรมองว่าเครื่องมือนี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่บอกถึงแรงซื้อแรงขายทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยสำคัญที่นักเทรดใช้ในการจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม รวมถึงจุดพักตัวที่ซ่อนอยู่ในตลาด เมื่อคุณเข้าใจการตีความค่า RSI อย่างลึกซึ้ง มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้คุณเห็นจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างชัดเจน

ในเนื้อหานี้ เราจะพาคุณไปสำรวจ เทคนิคการใช้ RSI แบบเจาะลึก ที่ไม่ใช่แค่การดูค่า Overbought หรือ Oversold แบบทั่วไป แต่ยังรวมไปถึงการใช้ RSI ในการวิเคราะห์ตลาดแนวโน้ม, การดู Divergence และการปรับกลยุทธ์ตามกรอบเวลา เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างแม่นยำ

ในช่วงตลาดที่มีแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง การใช้ RSI จะไม่เหมือนกับตลาดที่เคลื่อนไหวในลักษณะ sideway เพราะ RSI จะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวชัดเจน และนี่คือที่มาของเทคนิคการอ่าน RSI เพื่อให้จับจังหวะการเทรดได้อย่างแม่นยำมากขึ้นในตลาดที่มีแนวโน้ม

RSI ในตลาดขาขึ้น (Uptrend)

เมื่อราคาสินทรัพย์กำลังขึ้น เราสามารถใช้ RSI เป็นเครื่องมือในการช่วยหาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อขายได้ โดยทั่วไปในตลาดขาขึ้น ค่า RSI จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 40-70 ถ้าค่า RSI อยู่ในช่วงนี้ มันบอกว่าตลาดยังมีแรงซื้ออยู่ แต่ถ้าค่า RSI ย่อลงมาใกล้ระดับ 40-50 ไม่ต้องตกใจ นี่มักจะเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังพักตัวชั่วคราว (Pullback) ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อเพิ่ม เพราะหลังจากพักตัวแล้ว ราคามักจะกลับขึ้นไปตามแนวโน้มหลัก

สมมุติว่าคุณเห็นราคาของหุ้นตัวหนึ่งกำลังขึ้น ค่า RSI ก็อยู่ที่ประมาณ 65-70 แต่จู่ๆ ค่า RSI ย่อลงมาใกล้ระดับ 45 ไม่ใช่ว่าสถานการณ์แย่แล้ว แต่เป็นช่วงที่ตลาดอาจจะหยุดพัก เพื่อเตรียมขึ้นต่อไป นี่คือจังหวะที่ดีที่คุณอาจเลือกเข้าซื้อ เพราะตลาดอาจกำลังจะเด้งกลับขึ้นไปตามแนวโน้มขาขึ้นเดิม

แต่ถ้า RSI ขึ้นสูงกว่า 70 นั่นแปลว่าตลาดอาจจะอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งอาจบ่งบอกว่าราคากำลังจะปรับตัวลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในตลาดขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ค่า RSI อาจจะค้างอยู่ในโซนสูงเกิน 70 นี้ได้สักระยะ ซึ่งหมายความว่าราคายังอาจไปต่อได้และอย่ารีบขายจนกว่าจะเห็นการย่อตัวที่ชัดเจน

RSI ในตลาดขาลง (Downtrend)

หากคุณเห็น RSI ขึ้นมาใกล้ระดับ 50-60 นี่มักจะเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มตลาดขาลงกำลัง “พักตัว” หรือมีการฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นเต็มที่ นักเทรดหลายคนใช้ช่วงนี้เพื่อหาจุดเปิดออเดอร์ขาย เพราะหลังจากการฟื้นตัวชั่วคราว ตลาดมีโอกาสที่จะกลับตัวลงต่อในแนวโน้มหลักที่ยังเป็นขาลง

สมมุติว่าคุณกำลังดูหุ้นตัวหนึ่งที่มีแนวโน้มขาลง RSI อาจเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 30-50 และถ้าค่า RSI พุ่งขึ้นไปถึง 55 ก็ไม่ต้องรีบตัดสินใจซื้อ เพราะมันอาจเป็นการฟื้นตัวระยะสั้นก่อนที่ราคาจะร่วงลงต่อไป การขายในจุดนี้อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า

ในบางกรณี ค่า RSI อาจลดลงต่ำกว่า 30 ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะ ขายมากเกินไป (Oversold) นี่มักจะเกิดในตลาดที่ขาลงอย่างหนัก นักเทรดหลายคนอาจมองว่านี่คือสัญญาณการฟื้นตัว แต่ในตลาดที่ยังมีแนวโน้มขาลงแข็งแรง RSI ที่ต่ำกว่า 30 อาจจะยังไม่ใช่สัญญาณที่ดีพอในการเข้าซื้อ เพราะราคาอาจยังคงลงต่อได้ ถึงตอนนี้เราควรที่จะรอให้แนวโน้มหลักเปลี่ยนแปลงชัดเจนก่อนจึงจะเข้าซื้อถึงจะปลอดภัย

RSI Divergence จุดที่ตลาดขัดแย้ง

RSI Divergence เกิดขึ้นเมื่อทิศทางของกราฟราคาและ RSI ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ราคาทำจุดสูงใหม่ (Higher High) แต่ RSI กลับทำจุดสูงที่ต่ำลง (Lower High) หรือในทางกลับกัน ราคาทำจุดต่ำใหม่ (Lower Low) แต่ RSI กลับทำจุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Low) สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดอาจใกล้จะกลับทิศทาง เพราะแรงซื้อหรือแรงขายที่ผลักดันราคาเริ่มอ่อนแอลง โดยประเภทของ RSI Divergence มีดังนี้

  • Bullish Divergence

เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำใหม่ (Lower Low) แต่ RSI กลับทำจุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Low) นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดขาลงกำลังจะหมดแรง และมีโอกาสที่จะฟื้นตัวหรือกลับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการเตรียมเข้าซื้อในช่วงที่ราคายังไม่พุ่งขึ้นสูง

  • Bearish Divergence

เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงใหม่ (Higher High) แต่ RSI กลับทำจุดสูงที่ต่ำลง (Lower High) สถานการณ์นี้บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นกำลังเริ่มอ่อนแรง และมีโอกาสที่จะปรับตัวลง นักเทรดสามารถใช้จุดนี้เพื่อเตรียมปิดออเดอร์ซื้อหรือเปิดออเดอร์ขาย

โดยวิธีการค้นหา RSI Divergence ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัยความชำนาญในการจับจังหวะ มองหาความไม่สอดคล้องระหว่างการเคลื่อนไหวของกราฟราคาและ RSI เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคุณสามารถ เปิดกราฟราคาคู่กับ RSI และสังเกตว่าราคาทำจุดสูงหรือต่ำใหม่ในทิศทางใด และทำการเปรียบเทียบกับค่า RSI ว่าเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากมีความขัดแย้งกัน (ราคาและ RSI ไปในทิศทางตรงข้าม) นั่นคือสัญญาณของ Divergence

RSI แนวรับ แนวต้าน

ใช้ RSI กับแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels)

การใช้ RSI ร่วมกับแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการวิเคราะห์ซื้อขาย โดยการผสานระหว่างตัวบ่งชี้แนวโน้มของ RSI และระดับราคาที่สำคัญ จะช่วยให้นักเทรดสามารถหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

RSI กับแนวรับ (Support)

แนวรับคือระดับราคาที่มักจะเป็นจุดที่แรงซื้อเริ่มกลับเข้ามามากพอที่จะหยุดการลดลงของราคา หากราคาแตะถึงแนวรับในขณะที่ค่า RSI อยู่ในโซนต่ำ (ใกล้ 30 หรือต่ำกว่า) นี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะ ขายมากเกินไป (Oversold) และมีโอกาสสูงที่ราคาจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา เมื่อ RSI อยู่ในโซน Oversold และราคาเข้าใกล้หรือแตะที่แนวรับ นี่อาจเป็นจุดที่คุณสามารถเปิดออเดอร์ซื้อได้ โดยคาดหวังการดีดกลับของราคา

RSI กับแนวต้าน (Resistance)

แนวต้านคือระดับราคาที่แรงขายมากพอที่จะหยุดการขึ้นของราคา เมื่อราคาขึ้นไปแตะที่แนวต้าน ในขณะที่ค่า RSI อยู่ในโซนสูง (ใกล้ 70 หรือสูงกว่า) นี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าตลาดอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งมีโอกาสสูงที่ราคาจะย่อตัวลง เมื่อ RSI อยู่ในโซน Overbought และราคาเข้าใกล้หรือแตะที่แนวต้าน นี่เป็นจังหวะที่นักเทรดสามารถพิจารณาเปิดออเดอร์ขายได้ เพื่อจับจังหวะการย่อตัวลงของตลาด

การยืนยัน Breakout และ Fakeout

นอกจากการใช้ RSI เพื่อหาจุดเข้าออกที่แนวรับและแนวต้านแล้ว นักเทรดสามารถใช้ RSI ในการยืนยันการ Breakout หรือ Fakeout ได้ด้วย

  • หากราคาทะลุแนวต้านไปพร้อมกับ RSI ที่ยังมีแรงซื้ออยู่ (สูงกว่า 70 แต่ไม่ลดลง) นี่อาจเป็นสัญญาณของการ Breakout ที่แท้จริง ซึ่งสามารถเปิดออเดอร์ซื้อตามได้
  • หากราคาทะลุแนวรับลงไปแต่ RSI อยู่ในโซน Oversold และไม่ลดลงต่อ นี่อาจเป็นสัญญาณของ Fakeout ซึ่งตลาดอาจกลับตัวขึ้นมาจากแนวรับนั้น

ทำให้การใช้ RSI ควบคู่กับแนวรับและแนวต้านช่วยเพิ่มโอกาสในการหาจังหวะการเทรดที่แม่นยำมากขึ้น เมื่อค่า RSI สอดคล้องกับระดับแนวรับหรือแนวต้าน คุณจะมีข้อมูลที่แข็งแกร่งในการตัดสินใจ ในการเข้าออกออเดอร์ หรือการยืนยันสัญญาณ Breakout ในตลาดมากขึ้น

RSI กับ Timeframes ที่แตกต่างกัน (Multiple Timeframe Analysis)

RSI กับการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multiple Timeframe Analysis) เป็นเทคนิคเด็ดที่นักเทรดมืออาชีพใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก การใช้ RSI ใน Timeframe ที่แตกต่างกันจะช่วยให้เรามองเห็นทั้งภาพรวมของตลาดและหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะสมได้ดีขึ้น

วิธีง่าย ๆ ในการเริ่มต้น คือให้ดูแนวโน้มใหญ่ใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า เช่น Daily หรือ Weekly เพื่อให้เข้าใจทิศทางหลักของตลาดในระยะยาว Timeframe พวกนี้จะช่วยบอกว่าเรากำลังอยู่ในตลาดขาขึ้น ขาลง หรือช่วงที่ตลาดกำลังเคลื่อนไหวแบบนิ่ง ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้า RSI ในกรอบ Daily อยู่เหนือ 50 แสดงว่าตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น แต่ถ้า RSI ต่ำกว่า 50 ก็เป็นสัญญาณว่าเราอาจอยู่ในช่วงขาลง

เมื่อเราได้แนวโน้มหลักจากTimeframe ที่ใหญ่แล้ว เราก็ลงมาดู Timeframe ที่เล็กกว่า เช่น 4 ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าออก ตัวอย่างเช่น ถ้าแนวโน้มหลักในกรอบ Daily บอกว่าตลาดเป็นขาขึ้น คุณสามารถรอให้ RSI ในกรอบ 4 ชั่วโมง ย่อลงมาที่ระดับ 40-50 ซึ่งอาจเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อ เพราะตลาดอาจย่อตัวระยะสั้นก่อนจะดีดกลับขึ้นตามแนวโน้มหลัก

ข้อดีของการใช้ RSI ในหลาย Timeframe คือ มันช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอกใน Timeframe สั้น ๆ เช่น การปรับตัวลงใน Timeframe 1 ชั่วโมง อาจไม่ได้ส่งผลต่อแนวโน้มใหญ่ในกรอบ Daily ที่ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้น การใช้ Timeframe หลายแบบทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นในการเทรดตามแนวโน้มที่แท้จริง ลดโอกาสพลาดไปตามอารมณ์ตลาด

สรุปง่าย ๆ คือ การวิเคราะห์ multi timeframe เป็นเหมือนการมองภาพตลาดจากมุมสูงแล้วซูมเข้าไปหาจุดซื้อขายที่เหมาะสม ทำให้การตัดสินใจของคุณทั้งระยะสั้นและยาวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุป

RSI ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลัง แนวทางการใช้ RSI ในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ คือการใช้มันควบคู่กับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน หรือ Moving Average เพื่อยืนยันสัญญาณและลดโอกาสพลาด การใช้งาน RSI อย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น เห็นโอกาสได้ชัดเจนกว่าเดิม และวางแผนการเทรดอย่างมั่นใจ

สุดท้ายแล้วการใช้ RSI จึงไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขธรรมดาที่แสดงการชี้วัดอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนวิธีการมองตลาดของคุณได้ การใช้อย่างชาญฉลาดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และทำให้คุณสามารถจับจังหวะได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ลงทะเบียนสัมมนา