ในการเทรดต่าง ๆ ที่ต้องผ่านโบรกเกอร์ เทรดเดอร์หลายคนมักจะเคยได้ยินคำว่า “Leverage” มาอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะมาช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุน และการเทรดของเทรดเดอร์ให้มากขึ้นไปอีกระดับ ยิ่งถ้าเรียนรู้และนำมาใช้งานอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนได้อย่างแน่นอน แต่ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีความเข้าใจ และนำมาใช้งานอย่างไม่เหมาะสม ก็อาจกลายเป็นการสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตการลงทุนได้เช่นกัน
ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม บทความครั้งนี้เราจะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Leverage ว่ามันคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และนำไปใช้งานอย่างไรให้ดีและปลอดภัย เพื่อให้ะการลงทุนของเทรดเดอร์เป็นไปอย่างราบรื่นที่ควรเป็น
Leverage คืออะไร?
Leverage (เลเวอเรจ) คือ เครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มูลค่าสูงกว่าทุนที่ต้องมีจริงได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้เงินส่วนหนึ่งเป็นหลักประกัน หรือที่เรียกกันว่า “Magin” และส่วนที่เหลือเป็นเงินที่ทางโบรกเกอร์จะให้คุณ “ยืม” มาใช้งานชั่วคราวเพื่อขยายขนาดการลงทุนและการเทรด
ลองนึกภาพว่า “เลเวอเรจ” ทำงานเหมือน “เครื่องทุ่นแรง” ที่ช่วยให้คุณยกของหนักได้ง่ายขึ้น แม้จะออกแรงเพียงนิดเดียว ถ้าเทียบกับโลกการลงทุน เลเวอเรจก็คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมมูลค่าการลงทุนที่ใหญ่กว่าทุนที่คุณลงไปจริง ๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินลงทุนแค่ 1,000 USD แต่ใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณจะสามารถควบคุมมูลค่าการลงทุนได้ถึง 100,000 USD เลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนเลยคือ เลเวอเรจไม่ใช่แค่ตัวช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกัน มันก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนในสัดส่วนที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คุณอาจเสียเงินเร็วกว่าที่คิด หรือขาดทุนจนเกินทุนที่มี
ดังนั้น “เลเวอเรจ” จึงเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” การใช้อย่างฉลาดก็ช่วยคุณเพิ่มผลตอบแทนได้แบบก้าวกระโดด แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง มันอาจทำให้คุณขาดทุนจนกระเป๋าแบนได้ง่าย ๆ การใช้เลเวอเรจจึงต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและทำความเข้าใจความเสี่ยงอย่างรอบคอบด้วยเสมอ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Leverage
แน่นอนว่าการใช้งาน Leverage เพื่อขยายการลงทุนให้ใหญ่กว่าทุนที่ตัวเองมีเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่มีทุนน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ควรต้องทำความเข้าใจหลักการทำงานของสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน โดยหลักการทำงานของเลเวอเรจมีดังนี้
- อัตราส่วน (Leverage Raito)
ในส่วนของเลเวอเรจ มักจะถูกแสดงในรูปแบบของอัตราส่วน เช่น 1:10, 1:50 หรือ 1:100 อัตราส่วนเหล่านี้จะหมายถึงจำนวนเงินที่คุณสามารถควบคุมได้เมื่อเทียบกับเงินทุนที่ต้องใช้จริง ยกตัวอย่างเช่น
- เลเวอเรจ 1:10 = คุณสามารถควบคุม และเปิดการเทรดมูลค่าสินทรัพย์ได้มากกว่าเงินทุนของตัวเองถึง 10 เท่า ถ้ามีเงิน 1,000 USD ก็เท่ากับควบคุมและเปิดสถานะสินทรัพย์ได้มากถึง 10,000 USD
- การคำนวณหลักประกัน (Marting)
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการใช้เลเวอเรจต้องมีการวางเงินทุนส่วนหนึ่ง และฝากเงินจำนวนหนึ่งลงในบัญชีของโบรกเกอร์ โดยเป็นหลักประกันที่เรียกว่า “Margin” เพื่อเปิดการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้าคุณต้องการเทรดทองคำ ในมูลค่า 100,000 USD และใช้เลเวอเรจ 1:10 จะต้องการทำการวางเงินประกัน (Margin) 10,000 USD (คิดเป็น 1% ของมูลค่ารวม) เพื่อควบคุมทองคำ
ทั้งนี้หลักประกันหรือ Margin ในแต่ละโบรกเกอร์จะมีความแตกต่างกันไป ตัวอย่างที่เรายกขึ้นมาเป็นเพียงตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ผู้เทรดต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ ในการใช้เลเวอเรจในแต่ละโบรกเกอร์ด้วยเช่นกัน
- การคำนวณกำไรและขาดทุนจาก Leverage
เมื่อคุณเริ่มใช้เลเวอเรจควบคู่ไปกับการเทรด ในส่วนของกำไรและขาดทุนจะถูกคำนวณจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่คุณได้ทำการเทรด ไม่ใช่จากเงินทุนที่คุณลงไปจริง
ตัวอย่างการคำนวณกำไร
สมมติว่า นาย A ใช้เลเวอเรจ 1:100 เพื่อเปิดสถานะซื้อ (Buy) ในทองคำที่มูลค่า 100,000 USD โดยได้มีการวาง Margin ไว้เป็นจำนวนเงิน 1,000 USD
หากราคาของทองคำเพิ่มขึ้น 1% (จาก 100,000 เป็น 101,000)
กำไรจะเท่ากับ = 1,000 USD
ซึ่งคิดเป็น 100% ของจำนวนเงินที่คุณวางไว้ใน Margin ทันที
ตัวอย่างการขาดทุน
แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม นาย B ใช้เลเวอเรจ 1:10 เพื่อเปิดสถานะซื้อ (Buy) ในทองที่มีมูลค่า 10,000 USD โดยมีการวาง Marging ไว้เป็นจำนวนเงิน 1,000 USD เช่นกัน
หากราคาทองคำลดลง 1% (จาก 100,000 เป็น 99,000)
ขาดทุนจะเท่ากับ = 1,000 USD
ซึ่งหมายความว่าคุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมดที่วางเป็น Margin ในทันที
- Margin Call และการปิดสถานะอัตโนมัติ
การใช้ Leverage จำเป็นต้องมี Margin เข้ามาควบคู่อยู่ด้วยเสมอ หากตลาดมีการเคลื่อนไหวและทำให้เงินทุนในบัญชีของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่ทางโบรกเกอร์กำหนดไว้เมื่อ ทางโบรกเกอร์จะทำการส่งคำเตือนที่เรียกว่า “Margin Call” เพื่อให้ผู้เทรดเพิ่มเงินในบัญชี หากไม่ทำการเพิ่มเงินในบัญชีตามที่กำหนดไว้ ทางโบรกเกอร์จะทำการปิดสถานะโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้คุณติดลบไปมากกว่านี้
ตัวอย่าง
สมมติว่า นาย C ใช้เลเวอเรจ 1:10 ต้องวางเงินหลักประกันเริ่มต้น 10% ของมูลค่าการลงทุน โดยได้วางเงินหลักประกัน 10,000 USD เพื่อควบคุมการลงทุนมูลค่า 100,000 USD และรักษาระดับเงินในพอร์ตให้อยู่เหนือ 7% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด (Maintenance Margin) หากเงินลดลงต่ำกว่าระดับนี้ โบรกเกอร์จะส่ง Margin Call ให้เติมเงินเพิ่ม และหากเงินในพอร์ตลดลงจนต่ำกว่า 2.5% ของมูลค่าการลงทุน โบรกเกอร์จะบังคับขายสินทรัพย์ หรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อรักษาสมดุลพอร์ต
- หากเงินในพอร์ตลดลงเหลือ 8,000 USD > โบรกเกอร์จะส่ง Margin Call เพื่อแจ้งให้นาย C เติมเงินเข้าพอร์ตให้มากกว่า 7% ของมูลค่าการลงทุน (7,000 USD)
- หากเงินในพอร์ตลดต่ำกว่า 2,500 USD > โบรกเกอร์จะบังคับขายสินทรัพย์ หรือปิดสถานะบางส่วนทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตเกิดการติดลบไปมากกว่านี้
ข้อดีของการใช้ Leverage
Leverage ถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีทุนจำกัด เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและการเข้าถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่มีมูลค่าสูงได้ ต่อไปนี้มาลองดูข้อดีหลัก ๆ ของการใช้เลเวอเรจเลยดีกว่า
- เงินทุนน้อย แต่ทำกำไรได้เยอะ
ในโลกของการเทรด เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งมีทุนมาก การทำกำไรก็ยิ่งสูงขึ้นตาม ในขณะที่ผู้ที่มีทุนน้อยมักจำกัดโอกาสในการลงทุนและทำกำไรได้น้อยตาม แต่เลเวอเรจจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการใช้เงินเพียงส่วนหนึ่งเป็นหลักประกัน (Margin) กับโบรกเกอร์ และเข้าถึงการทำกำไรได้เยอะ จากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง
- เพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์มูลค่าสูงได้
เลเวอเรจไม่ได้เปิดโอกาสในการทำกำไรเยอะเท่านั้น แต่ยังช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เทรดที่มีเงินทุนน้อยสามารถเข้าเทรดสินทรัพย์ที่มูลค่าสูงได้ เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้นระดับโลก หรือดัชนีตลาดหุ้นขนาดใหญ่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน
ตัวอย่างเช่น นาย A ต้องการลงทุนในทองคำ 1 ออนซ์ ที่มีมูลค่าสูงถึง 2,000 USD ซึ่งถ้าไม่มี “เลเวอเรจ” เท่ากับว่าเขาต้องใช้เงินทุนสูงถึง 2,000 USD เลยทีเดียว แต่ในอีกด้านถ้าใช้ เลเวอเรจ 1:100 เท่ากับเขาจะใช้เงินทุนเพียงแค่ 20 USD ซึ่งคิดเป็น 1% ของมูลค่าทองคำเท่านั้น
ความเสี่ยงของ Leverage
แม้ Leverage จะมีข้อดีที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเทรดเดอร์ แต่ก็ต้องเข้าใจและใช้อย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะโอกาสทำกำไรที่สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน หากใช้งานไม่ระวัง อาจทำให้เกิดการขาดทุนจนพอร์ตแตกได้ ดังนั้นการเข้าใจความเสี่ยงของมันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ควรต้องรู้ ถ้าหากอยากจะใช้สิ่งนี้
- การโดน Margin Call
Margin Call คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อเงินในพอร์ตของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ (Maintenance Margin) หมายความว่าเงินในพอร์ตของคุณไม่เพียงพอที่จะรักษาสถานะการลงทุนที่เปิดอยู่
หากคุณไม่สามารถเติมเงินเข้าพอร์ตได้ทันเวลา โบรกเกอร์จะดำเนินการบังคับขายสินทรัพย์บางส่วน เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากขึ้น สำหรับผู้เทรดนี่ไม่ใช่แค่การสูญเสียเงินทุนไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสียโอกาสในการเทรดเพิ่มเติม เพราะสถานะการลงทุนของคุณอาจถูกปิดทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการหลีกเลี่ยง Margin Call จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรติดตามสถานะพอร์ตอย่างใกล้ชิดและวางแผนการจัดการความเสี่ยงให้ดีในการใช้เลเวอเรจ
- ความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นจากการขยายพอร์ต
หากกล่าวว่า “เลเวอเรจ” เปรียบเหมือนดาบสองคำก็คงไม่เกินจริง เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยขยายทั้งโอกาสกำไรและขาดทุนในอัตราส่วนเดียวกัน หมายความว่าการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างผลกระทบที่ใหญ่โตต่อพอร์ตของผู้เทรดได้ง่าย ถ้ามันทำกำไรได้ก็คงเป็นเรื่องดี แต่ถ้าขาดทุน การขาดทุนที่เกิดขึ้นจะขยายตัวได้รวดเร็วและอาจทำให้ผู้เทรดต้องเสียเงินทุนทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น
วิธีการใช้ Leverage อย่างปลอดภัยสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น และอยากใช้งาน Leverage ควรต้องทำความเข้าใจและรู้วิธีการใช้งานที่ปลอดภัยด้วย เพราะเครื่องมือนี้หากจัดการได้ไม่ดี และใช้งานไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณขาดทุนจนเสียเงินทุนทั้งหมดไปได้ ดังนั้นมาลองดูวิธีใช้งานที่ปลอดภัยสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
- ทำความเข้าใจเงื่อนไขของ Leverage / Margin ในโบรกเกอร์ที่ใช้เทรดก่อน
ก่อนที่คุณจะเริ่มใช้เลเวอเรจ สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ การศึกษาเงื่อนไขของโบรกเกอร์ที่ผู้เทรดเลือกใช้งาน เพราะแต่ละโบรกเกอร์ และระดับบัญชีอาจมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป เช่น อัตราส่วน Leverage สูงสุดที่รองรับ (1:10, 1:100 หรือ 1:1,000) ระดับ Maintenance Margin และอัตรา Margin Call
ซึ่งหากคุณไม่ศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้ อาจทำให้ผู้เทรดเปิดออเดอร์ที่มีขนาดใหญ่เกินไปโดยไม่รู้ตัว และมีความเสี่ยงต่อการโดน Margin Call หรือถูกบังคับปิดออเดอร์ได้
- เริ่มต้นด้วยการใช้ Leverage ต่ำ
การใช้เลเวอเรจสูง อย่าง 1:100 หรือ 1:500 อาจฟังดูน่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่เพราะมันช่วยขยายการลงทุนและการทำกำไรได้อย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การใช้เลเวอเรจต่ำ อย่าง 1:10 หรือ 1:20 จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ดียิ่งกว่า และทำให้การเทรดปลอดภัยไปอีกขั้นด้วย
นอกจากนี้การใช้เลเวอเรจที่ต่ำช่วยให้ผู้เทรดสามารถควบคุมความเสี่ยงและการขาดทุนได้ดีกว่า เพราะเมื่อราคาสินทรัพย์มีการเคลื่อนไหวผิดทิศทาง ความเสียหายที่เกิดจากเลเวอเรจจะไม่ขยายตัวจนเร็วเกินไป
- ตั้งค่า Take Profit และ Stop Loss ในทุกออเดอร์
Take Profit และ Stop Loss เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่มีความสำคัญที่ช่วยควบคุมการเทรดของเทรดเดอร์ทุกคน โดย Take Profit จะทำหน้าในการล็อกค่ากำไรที่ต้องการแล้วทำการปิดออเดอร์เมื่อถึงราคาที่กำหนด และ Stop Loss จะจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ซึ่งการเทรดในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง ตลาดทองคำ หรือ Forex แล้วยังใช้งานเลเวอเรจ การไม่มีจุดกำหนดออกที่ชัดเจน อาจทำให้คุณพลาดโอกาสทำกำไร และขาดทุนจนมากเกินไปได้เช่นกัน
- หมั่นตรวจสอบระดับ Margin ในพอร์ตอยู่ตลอดเวลา
ในการใช้งานเลเวอเรจ หากไม่ทำการติดตามระดับ Margin อยู่เสมอ ผู้เทรดอาจไม่ทันรู้ได้ว่าพอร์ตของคุณกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ดังนั้นการตรวจสอบระดับ Margin อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ปลอดภัยในการใช้เลเวอเรจ เพราะหากเงินในพอร์ต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนดเมื่อไร ผู้เทรดอาจจะได้รับ Margin Call หรือถูกบังคับปิดออเดอร์ได้เลยทีเดียว ซึ่งทำให้ผู้เทรดเสียผลประโยชน์ได้มากมายเลยทีเดียว
- บริหารขนาดของการลงทุนและการเทรดให้ดี
สิ่งสำคัญในการเทรดให้ปลอดภัยเลยคือ อย่างทุ่มเงินทั้งหมดในออเดอร์เดียว เพราะมันจะเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนสูง และยิ่งถ้าใช้งานเลเวอเรจ ความเสี่ยงในการขาดทุนก็จะขยายตัวขึ้นได้เร็วเช่นกัน
ดังนั้นผู้เทรดควรแบ่งเงินทุนออกเป็นส่วนเล็ก ๆ เพื่อกระจายการลงทุน การลงทุนในสินทรัพย์เดียวกันด้วยเงินจำนวนมาก อาจทำให้ผู้เทรดสูญเสียเงินทั้งหมดและขาดทุนได้ง่าย หากตลาดมีการเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
- ศึกษาตลาดและเข้าใจถึงสินทรัพย์ที่ทำการเทรด
เพื่อให้การใช้งานเลเวอเรจ ในการเทรดเป็นไปได้อย่างราบรื่น ควรต้องทำการศึกษาให้เข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่จะทำการเข้าเทรดก่อนเสมอ ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อราคา และสินทรัพย์นี้มีความผันผวนมากน้อยเพียงใด เพราะการที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่จะทำการเทรดคือความเสี่ยงที่อันตรายเป็นอย่างมาก การเข้าใจในสินทรัพย์ที่เทรดจะช่วยให้ผู้เทรดตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและแม่นยำมากขึ้น
บทสรุป
สรุปได้ง่าย ๆ เลยว่า Leverage คือเครื่องมือสำคัญที่จะมาช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้ แม้จะมีเงินทุนจำกัดหรือน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะมันขยายทั้งการทำกำไรและความเสี่ยงในการขาดทุนได้
ซึ่งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การเรียนรู้และเข้าใจว่า Leverage คืออะไร รวมไปถึงวิธีการใช้อย่างปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ในทุกการเทรด รวมไปถึงการบริหารเงินทุนและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ใช้งานเลเวอเรจได้อย่างปลอดภัยและให้ผลตอบแทนในการเทรดได้อย่างมหาศาล แต่อย่าลืมว่า “เลเวอเรจ” นั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคำ” ควรใช้อย่างมีวินัยแล้วคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ถ้าทำได้มันจะกลายเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังอย่างมากที่มาช่วยในการเทรด