“การเทรด” เรื่องนี้อาจจะดูน่าสนใจในโลกของการเงินและการลงทุนยุคดิจิทัล หลายคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และยากจนเกินความเข้าใจสำหรับคนทั่วไป มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือนักลงทุนเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่หารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วการเทรดเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ หากศึกษาและเข้าใจความหมายการเทรดได้อย่างแท้จริง ซึ่งในบทความครั้งนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกันว่า “การเทรดคืออะไร” มีอะไรบ้างที่คุณต้องรู้หากต้องการเทรด
การเทรดคืออะไร?
การเทรด (Trading) คือ การแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ เช่น หุ้น, สกุลเงิน (Forex) หรือทองคำ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายที่ง่ายและชัดเจนเลยคือ การทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาดการเงิน ซึ่งการเทรดไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์นั้นจริง ๆ เป็นเพียงแค่การเก็งกำไรของสินทรัพย์นั้น โดยผู้เทรดจะต้องคาดการณ์ทิศทางของราคาสินทรัพย์เอาเอง ว่าราคาจะขึ้นหรือลงในทิศทางใด
โดยปกติแล้วผู้ทำการเทรด มักจะถูกเรียกว่า “เทรดเดอร์” ซึ่งการเทรดโดยส่วนมากแล้วมักนิยมใช้การเทรดระยะสั้น ๆ เพื่อเก็งทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้วการเทรดมีทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาวเลย ขึ้นอยู่กับสไตล์ของเทรดเดอร์แต่ละคน ว่าจะพึงพอใจและชื่นชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ประเภทของการเทรดมีอะไรบ้าง?
การเทรดในตลาดการเงินมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกสินทรัพย์ไหน โดยการเทรดในแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญคือการเก็งและทำกำไรให้ได้ หากอ้างอิงประเภทของการเทรดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็นการเทรด 3 ประเภท ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้
1. การเทรดหุ้น (Stock Trading) คือ การซื้อ-ขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้น เทรดเดอร์สามารถเลือกซื้อหุ้นราคาหนึ่งและขายเมื่อราคาสูงขึ้น หรือขายในราคาหนึ่งและซื้อคืนเมื่อราคาต่ำลงก็ได้
ข้อดีของการเทรดหุ้น
- มีโอกาสได้รับเงินปันผล (Dividend) จากหุ้นปันผล
- หุ้นของบริษัทใหญ่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ
- เลือกลงทุนได้หลากหลายอุตสาหกรรม
ข้อเสียของการเทรดหุ้น
- ราคาของหุ้นผันผวนได้มากจากข่าวเศรษฐกิจหรือปัจจัยภายนอก
- การเลือกเทรดหุ้นที่ดี ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างละเอียด
2. การเทรดทอง (Gold Trading) คือ การซื้อ-ขายทองคำในตลาด โดยส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำ ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เพราะถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe-haven asset) ที่นักลงทุน / เทรดเดอร์หันมาพึ่งพาเมื่อสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง
ข้อดีของการเทรดทอง
- ทองคำมีมูลค่าในตัวเอง และเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน
- ทองคำมักเพิ่มมูลค่าในช่วงที่ตลาดการเงินอื่น ๆ มีความไม่แน่นอน
ข้อเสียของการเทรดทอง
- ราคาทองอาจมีความผันผวนสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ
3. การเทรดเงินตราต่างประเทศ (Forex Trading) หรือที่เรียกกันว่า “ฟอเร็กซ์” (Forex) เป็นการซื้อ-ขายสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ โดยมุ่งหวังการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของสองประเทศ เช่น USD/EUR ยกตัวอย่างเช่น นาย A คาดการณ์ว่าสกุลเงินยูโร (EUR) จะมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) คุณจึงทำการซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.1000 ซึ่งหมายความว่าคุณซื้อ 1 ยูโร (EUR) ด้วยเงิน 1.10 ดอลลาร์ (USD) หากราคาขึ้นไปที่ 1.1200 คุณจะสามารถทำกำไรได้จากส่วนต่างของราคา
ข้อดีของการเทรดฟอเร็กซ์
- ตลาดเปิด 24 ชั่วโมงตลอด 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้สามารถเทรดได้ตลอดเวลา
- ตลาดมีสภาพคล่องสูง สามารถเข้าออกตลาดได้ง่าย
- มีโอกาสทำกำไรได้จากทั้งตลาดขึ้นและขาลง
ข้อเสียของการเทรดฟอเร็กซ์
- ตลาดมีความผันผวนสูง อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว
- ต้องมีความเข้าใจ และอาศัยการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยเศรษฐกิจของหลายประเทศ
5 เรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนก้าวสู่เส้นทางการเทรด
การก้าวเข้าสู่โลกของการเทรดอาจเป็นเส้นทางที่ท้าทายสำหรับมือใหม่ แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นเทรดแบบจริงจัง สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวและเข้าใจพื้นฐาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการเทรด นี่คือ 5 เรื่องพื้นฐานที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มเทรด
1. สำรวจตัวเอง ทำไมถึงสนใจการเทรดและมีเป้าหมายคืออะไร?
ก่อนเริ่มต้นการเทรด สิ่งแรกที่ควรทำคือการสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงสนใจการเทรด และมีเป้าหมายอะไรในการเทรด การที่คุณเข้าใจจุดมุ่งหมายจะช่วยให้คุณเลือกรูปแบบการเทรดที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของคุณได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างเป้าหมาย:
- คุณอาจต้องการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว เช่น การลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล เพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต
- หากคุณต้องการเทรดระหว่างทำงานประจำ คุณอาจเลือกการเทรดแบบระยะกลางถึงระยะยาว (Swing Trading) ซึ่งไม่ต้องติดตามตลาดทุกวัน
- หรือหากคุณต้องการสร้างรายได้อย่างรวดเร็ว การเทรดรายวัน (Day Trading) อาจเป็นวิธีที่เหมาะสม แต่ต้องมีความรู้และประสบการณ์สูง
คำแนะนำ: ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันต้องการเทรดเพื่ออะไร?” แล้วใช้คำตอบนั้นเป็นแนวทางในการค้นหารูปแบบการเทรดที่เหมาะกับตัวเอง
2. เริ่มต้นศึกษาการเทรดอย่างจริงจัง
การเทรดไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ในหนึ่งคืน การเป็น “เทรดเดอร์” นับว่าเป็นอาชีพที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างลึกซึ้งและฝึกฝน เนื่องจากมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการเงิน การเข้าใจถึงตลาดและวิธีการเทรดที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สิ่งที่ควรศึกษา:
- ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดการเงิน เช่น ตลาดหุ้น, ฟอเร็กซ์, หรือตลาดทองคำ
- วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
- การเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น หนังสือการเทรด คอร์สออนไลน์ หรือบทความจากผู้เชี่ยวชาญ
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการเทรดหุ้น คุณควรศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้น วิธีการทำงานของตลาด รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์กราฟราคา เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และการวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis) ซึ่งช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลประกอบ
3. รู้จักคำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเทรด
การเทรดมีคำศัพท์เฉพาะที่ผู้เริ่มต้นอาจยังไม่คุ้นเคย การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสื่อสารและทำความเข้าใจวิธีการเทรดได้ดียิ่งขึ้น และทำให้การเรียนรู้ของคุณไม่สะดุด
คำศัพท์ที่ควรรู้:
- Bid/Ask: ราคาที่ผู้ซื้อยินดีซื้อ (Bid) และราคาที่ผู้ขายยินดีขาย (Ask)
- Leverage: การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน
- Stop Loss (SL): การตั้งจุดหยุดขาดทุนเมื่อราคาสินทรัพย์ลดลงถึงจุดที่คุณยอมรับได้
- Take Profit (TP): การตั้งจุดขายทำกำไรเมื่อราคาสินทรัพย์ถึงเป้าหมายที่คุณต้องการ
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการตั้ง Stop Loss เพื่อป้องกันการขาดทุนในการเทรด คุณจะกำหนดราคาที่หากสินทรัพย์ตกลงถึงจุดนั้น โบรกเกอร์จะขายสินทรัพย์ของคุณโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน
4. บริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย (Risk Management)
การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ การตั้งกฎเกณฑ์ในการจัดการความเสี่ยงช่วยให้คุณสามารถควบคุมการขาดทุนและป้องกันไม่ให้ขาดทุนหนักจนเกินไป ผู้เทรดควรตั้งข้อตกลงกับตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
วิธีการบริหารความเสี่ยง:
- ตั้งค่า Stop Loss ในการเทรดแต่ละครั้ง เพื่อจำกัดการขาดทุน
- ควรลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเงินทุน เช่น ใช้เพียง 1-2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง
- อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว แต่ควรกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง
5. เลือกโบรกเกอร์การเทรดที่น่าเชื่อถือ
การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเทรดของคุณราบรื่น โบรกเกอร์คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างคุณกับตลาด โบรกเกอร์ที่ดีควรมีความน่าเชื่อถือ มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์:
- ความน่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและได้รับการกำกับดูแลจากองค์กรที่เชื่อถือได้
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: โบรกเกอร์บางแห่งมีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการเทรด แต่ต้องดูค่าธรรมเนียมที่แฝงอยู่ด้วย เช่น ค่าถอนเงินหรือค่าธรรมเนียมรายเดือน
- การสนับสนุนลูกค้า: โบรกเกอร์ที่มีการบริการลูกค้าที่ดีและช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาในการเทรด
ตัวอย่าง: หากคุณเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ แต่ระบบเทรดไม่เสถียร หรือมีการล่าช้าในคำสั่งซื้อ-ขาย อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไร ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่มีทั้งความน่าเชื่อถือและการใช้งานที่ดี จะช่วยให้การเทรดของคุณราบรื่นมากขึ้น
การเตรียมตัวก่อนเริ่มเทรดคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ การสำรวจตัวเอง ศึกษาข้อมูลและการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีเปลี่ยนความรู้ให้เป็นกำไรในตลาดการเงินได้ผ่านการเทรด
การเทรดเพื่อทำกำไรในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะผ่านสินทรัพย์ใด ๆ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และผ่านการฝึกฝนมาอย่างมาก การเปลี่ยนความรู้ที่คุณมีให้เป็นกำไรผ่านการเทรดได้นั้นต้องมีการวางแผนและกลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน ผ่านวิธีการดังต่อไปนี้
1.เข้าใจและเรียนรู้พื้นฐานตลาดการเงิน
ก่อนที่จะเริ่มเทรดเลย คุณต้องมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับพื้นฐานของตลาดการเงินทั้งหมด โดยตลาดการเงินจะประกอบด้วยสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น, ฟอเร็กซ์ (Forex), ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์เช่น น้ำมันหรือแร่ การทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวและทำงานอย่างไร จะช่วยให้คุณเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับการเทรดของคุณได้
2.ศึกษากราฟ และเข้าใจเทคนิคการวิเคราะห์
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเทรดเดอร์เลยทีเดียว การศึกษาและทำความเข้าใจกราฟและการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), RSI, MACD และรูปแบบของกราฟ (Chart Patterns) จะเป็นส่วนช่วยสำคัญให้คุณคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งการอ่านกราฟราคาไม่ได้มีเพียงแค่การดูขึ้นลงเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจพฤติกรรมตลาดและตอบสนองต่อจังหวะในการทำกำไรอีกด้วย
3.รู้จักจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นหัวใจสำคัญในการเทรดอย่างยิ่ง เพราะ ในตลาดการเงินมีความผันผวนและความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา การที่คุณรู้วิธีการจัดการความเสี่ยงช่วยให้คุณปกป้องเงินทุนของคุณได้ในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด การกำหนดขอบเขตการขาดทุน (Stop Loss) และการตั้งขอบเขตทำกำไร (Take Profit) จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการควบคุมความเสี่ยงในการเทรดของคุณ
4.เปิดบัญชีทดลองเทรดฟรีเพื่อฝึกฝน
การเปิดบัญชีทดลองเทรด (Demo Account) เป็นหนึ่งในวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนทักษะการเทรด และทำความเข้าใจตลาดได้แบบเห็นภาพชัดเจน (แต่ควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับการเทรดก่อนเสมอ)
ซึ่งการใช้บัญชีทดลองเหล่านี้จะช่วยให้คุณทดสอบกลยุทธ์การเทรด ศึกษาและเข้าใจวิธีการใช้งานเครื่องมือและคำสั่งต่าง ๆ รวมไปถึงรู้จักความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินจริง การฝึกฝนทดลองเทรดในบัญชีทดลองจะช่วยให้คุณพร้อมมากยิ่งขึ้นในการก้าวสู่การเป็น “เทรดเดอร์” ที่เทรดในตลาดจริงด้วยความมั่นใจ
5.มีวินัยและควบคุมอารมณ์ทุกครั้งในการเทรด
การเป็น “เทรดเดอร์” ที่ดี ไม่ใช่แค่เก่งเรื่องการวิเคราะห์และทำกำไรเท่านั้น แต่ยังต้องมีการควบคุมอารมณ์และมีวินัยในการเทรดด้วย ความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจได้ หากคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจเสี่ยงที่จะตัดสินใจผิดพลาดจนนำไปสู่การขาดทุนครั้งใหญ่ การมีวินัยในการทำตามแผนที่วางไว้ และไม่ปล่อยอารมณ์ให้เข้ามามีบทบาทเหนือการวิเคราะห์ข้อมูล จะช่วยให้การเทรดของคุณประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนความรู้ให้เป็นกำไรในตลาดการเงินไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ ฝึกฝน และมีวินัยในตัวเอง การเข้าใจพื้นฐานของตลาด การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยง การทดลองเทรด และการควบคุมอารมณ์เป็นขั้นตอนสำคัญในการช่วยให้คุณสามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในเส้นทางของการเทรด
บทสรุป
“การเทรด” นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับนักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการสร้างรายได้ในยุคดิจิทัลนี้ เพราะการเข้าถึงการทำกำไรได้ตลอดเวลากลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การเทรดไม่ได้อาศัยโชคชะตาหรือดวง การที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้ จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในตลาดการเงินและสินทรัพย์ที่เลือกเทรดอย่างถ่องแท้ การเข้าไปเทรดโดยขาดการเตรียมตัวและไม่มีความรู้ อาจนำไปสู่การขาดทุนแบบย่อยยับ หรือหมดเนื้อหมดตัวได้
ดังนั้น หากคุณสนใจในการเทรด การเริ่มต้นศึกษาว่าการเทรดคืออะไร มีวิธีการทำงานอย่างไร และสินทรัพย์ในตลาดมีลักษณะอย่างไร เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการแปลงความรู้ให้เป็นกำไรที่ยั่งยืน ความสำเร็จในการเทรดมาจากการเรียนรู้ ฝึกฝน และการตัดสินใจอย่างมีสติในทุก ๆ ครั้ง ไม่ใช่เรื่องของโชคหรือดวงแต่อย่างใด